ปัจจุบันมีช่องทางการขายของออนไลน์มากมายที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายยิ่งขึ้น การสร้างร้านค้าออนไลน์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกยอดนิยมที่หลายแบรนด์เลือกใช้ บทความนี้เราจะไปทำความรู้จักการใช้งาน WooCommerce ที่ช่วยให้คุณออกแบบร้านค้าออนไลน์ง่าย ๆ ด้วยตัวเองอย่างเป็นมืออาชีพโดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อม 10 เหตุผลว่าทำไมร้านค้าออนไลน์จึงเลือกใช้งาน
WooCommerce คืออะไร
WooCommerce เป็นปลั๊กอินฟรีในเว็บไซต์ WordPress ที่จะช่วยเปลี่ยนให้เว็บไซต์ของคุณกลายเป็นร้านค้าอีคอมเมิร์ซได้อย่างมืออาชีพ โดยเป็นปลั๊กอินเสริมใน WordPress ที่จะช่วยให้การสร้างและจัดการร้านค้าออนไลน์เป็นเรื่องง่าย และยังมีฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์มากมาย ซึ่งรวมถึงการติดตามคำสั่งซื้อ การอัปเดตสถานะการส่งสินค้าให้กับลูกค้าด้วย ทำให้ WooCommerce มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 27 ล้านครั้ง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมร้านค้าออนไลน์ใน WordPress กว่า 99% เลือกใช้ปลั๊กอินนี้
WooCommerce เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 โดยสองนักพัฒนาอย่าง Mike Jolley และ James Koster ที่ต้องการทำปลั๊กอินอีคอมเมิร์ซเลียนแบบ Jigoshop ก่อนที่ในปี 2015 Automattic บริษัทแม่ของ WordPress จะเข้าซื้อกิจการ WooCommerce และปลั๊กอินในเครือ WooThemes
วิธีติดตั้งปลั๊กอิน WooCommerce
การติดตั้งปลั๊กอิน WooCommerce ทำได้ง่าย ๆ เพียง 4 ขั้นตอนดังนี้
1. ไปที่ WordPress dashboard
2. เลือก “ตัวเลือกปลั๊กอิน”
3. ค้นหาคำว่า “WooCommerce”
4. ดาวน์โหลดปลั๊กอินไปยังเว็บไซต์ WordPress
เมื่อดาวน์โหลดและติดตั้งปลั๊กอินเรียบร้อยแล้ว ระบบจะแนะนำขั้นตอนในการสร้างร้านค้าออนไลน์ต่อไป
10 เหตุผลที่ควรเลือกใช้งาน WooCommerce
ทุกวันนี้ WooCommerce ก็ยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะใช้งานง่ายแล้ว ก็เข้ากันได้ดีกับปลั๊กอินตัวอื่น ๆ ใน WordPress ด้วย และนี่คือ 10 เหตุผลว่าทำไมร้านค้าออนไลน์ควรใช้งานWooCommerce
1. WooCommerce ใช้งานฟรี
เหตุผลแรกคือปลั๊กอิน WooCommerce สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี โดยผู้ใช้งานไม่ต้องเสียค่าบริการรายปีแพง ๆ จึงทำให้เจ้าของกิจการร้านค้าลดค่าใช้จ่ายในการซื้อซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ หรือเสียค่าใช้จ่ายสูง ๆ ในส่วนนี้ แต่ถ้าต้องการเพิ่มส่วนขยายอื่น ๆ หรือการชำระเงินด้วย WooCommerce ก็อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน
2. WooCommerce เป็นระบบโมดูลาร์
WooCommerce ถูกออกแบบการใช้งานให้เป็นแบบระบบโมดูลาร์ที่สามารถเพิ่มส่วนขยายปลั๊กอินอื่น ๆ ได้ ดังนั้นผู้ใช้งาน WooCommerce จึงได้ประโยชน์เป็นสองเท่า เพราะไม่เพียงเข้าถึงปลั๊กอินและธีมของWordPress ได้หลายพันรายการได้แล้ว ยังมีทีมงานผู้พัฒนาที่คอยสร้างส่วนขยายอื่น ๆ เพื่อเพิ่มฟังก์ชันการทำงานที่โปรแกรมทั่วไปไม่สามารถทำได้อีกด้วย
3. WooCommerce ทำงานร่วมกับ WordPress ได้ลงตัว
WooCommerce เป็นปลั๊กอินเสริมของ WordPress ที่ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี และเนื่องจาก WordPress เป็นเว็บไซต์ยอดนิยมที่ธุรกิจหลายล้านรายเลือกใช้ จึงมีระบบการทำงานที่รวดเร็ว ปลอดภัย และใช้งานง่าย ทำให้การทำงานร่วมกันระหว่าง WordPress และ WooCommerce เป็นไปอย่างราบรื่นและไม่สะดุด
4. WooCommerce ขายอะไรก็ได้
WooCommerce เป็นปลั๊กอินที่มีความยืดหยุ่นอย่างแท้จริง จึงเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ในการขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่จับต้องได้ การลงทะเบียน สมัครสมาชิก การนัดหมาย สินค้าที่เป็นชิ้นเดียวหรือจำนวนมากมาย WooCommerce จึงเปรียบเสมือนแอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซสารพัดประโยชน์
5. WooCommerce มีนักพัฒนาที่พร้อมช่วยเหลือ
ทั้ง WooCommerce และ WordPress ต่างเป็นซอฟต์แวร์แบบ Open source หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้งานได้ฟรี ซึ่งหมายความว่าไม่ว่าใครก็สามารถใช้งาน ดัดแปลง แก้ไข หรือเพิ่มฟังก์ชันต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ ที่สำคัญ WooCommerce ยังมีกลุ่มนักพัฒนาและมืออาชีพจำนวนมากที่พร้อมสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือ ถ้าต้องการปรับปรุงร้านค้า WooCommerce ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด และด้วยการใช้งานที่แพร่หลายและมีทีมพัฒนาที่เป็นเครือข่าย ทำให้อุ่นใจในเรื่องความปลอดภัยได้มากยิ่งขึ้น
6. WooCommerce มีระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ทรงพลัง
อีกหนึ่งข้อได้เปรียบของ WooCommerce คือ มีระบบการวิเคราะห์ข้อมูลในตัวที่จะช่วยในการวิเคราะห์ลูกค้าและทำให้รู้จักลูกค้ามากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีเครื่องมือการวิเคราะห์อื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้งานง่าย และยังสามารถใช้งานร่วมกับผู้ให้บริการเจ้าอื่น ๆ อย่าง Google Analytics ในการเป็นส่วนขยายได้อีกด้วย
7. WooCommerce รองรับการเติบโตของธุรกิจของคุณ
ไม่ว่าร้านค้าออนไลน์ของคุณจะเป็นร้านค้าขนาดเล็กหรือใหญ่ก็สามารถใช้งาน WooCommerce ได้ เพราะถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ จึงสามารถจัดการสินค้าจากสินค้าเพียงไม่กี่รายการไปจนถึงสินค้าหลายพันรายการ และจากผู้ซื้อไม่กี่รายต่อวันเป็นผู้ซื้อหลายร้อยรายต่อวินาที ดังนั้นเมื่อเว็บไซต์ของคุณโตขึ้น ฟังก์ชันการทำงานของ WooCommerce ก็ยังสามารถทำงานร่วมกับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8. WooCommerce มีระบบการจัดการเนื้อหาเว็บไซต์ (CMS) ชั้นเลิศ
คอนเทนต์ด้านการตลาดอีคอมเมิร์ซถือเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับร้านค้าออนไลน์ จึงต้องมีระบบการจัดการเนื้อหาเว็บไซต์หลังบ้าน (CMS) ซึ่ง WooCommerce มีระบบ CMS ที่ยอดเยี่ยม ยิ่งไปกว่านั้นยังมีตัวเลือกในการจัดการเนื้อหาที่หลากหลายให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้ได้ รวมถึงการทำบล็อก แลนดิ้งเพจ และการทำการตลาดผ่านอีเมลด้วย อีกทั้งยังสามารถใช้งานร่วมกับปลั๊กอิน SEO อย่างYoast WooCommerce SEO ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพคอนเทนต์ให้ค้นหาได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย
9. WooCommerce โหลดหน้าเว็บได้รวดเร็ว
ทั้ง WordPress และ WooCommerce สามารถตอบสนองได้ดีกับร้านค้าออนไลน์ทุกขนาดไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ก็สามารถโหลดหน้าเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วทันใจ แต่ถ้าต้องการที่จะเพิ่มความเร็วให้กับร้านค้ายิ่งขึ้นก็สามารถทำได้ผ่านการใช้โฮสติ้ง WooCommerce ซึ่งได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงาน
10. WooCommerce ถูกออกแบบมาเพื่อการขาย
ข้อดีอีกอย่างของ WooCommerce คือถูกออกแบบมาเพื่อการขายให้กับร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ ดังนั้นจึงมีทุกสิ่งที่ผู้ใช้งานอีคอมเมิร์ซรายใหม่ต้องการเพื่อเริ่มต้นและใช้งาน ดังนี้
- มีบริการชำระเงินออนไลน์กว่า 100 แห่งที่สามารถเข้ากับร้านค้าของคุณได้
- มีวิธีการจัดส่งและจัดการสินค้าหลายวิธี
- มีระบบหลังบ้านที่ใช้งานง่าย ช่วยให้จัดการร้านค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สามารถเลือก ธีม WooCommerce ระดับพรีเมียมได้ฟรี หรือสร้างธีมที่กำหนดเองเพื่อให้ร้านค้ามีหน้าตาที่แตกต่างและไม่เหมือนใคร
- มีคู่มือชั้นเลิศที่มีคำแนะนำสำหรับผู้ใช้งานอีคอมเมิร์ซรายใหม่
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คงจะเห็นกันแล้วว่า WooCommerce มีการทำงานที่เป็นมืออาชีพ รวดเร็ว ใช้งานง่าย และยังสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการของธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณได้ จึงตอบโจทย์ในการสร้างร้านค้าออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และแสดงให้เห็นว่าของฟรีดี ๆ มีอยู่จริง!