ทำไมต้องมีเว็บไซต์?
ในโลกที่ Social Media เฟื่องฟูหรือการเอาของไปขายตาม Ecommerce Platform นั้นสามารถทำได้ง่ายดาย คน/บริษัทเริ่มให้ความสำคัญกับการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองน้อยลง
หลายๆคน หลายๆบริษัทคิดว่า พวกเขาจะอยู่บน Platform ไหนก็ได้ ขอแค่ให้มี Reach เยอะๆ ขายของได้มากๆ ก็เพียงพอแล้ว ใจนึงผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ แต่อีกใจนึง… ผมก็ไม่กล้าเสี่ยง
- เสี่ยงกับการยืมจมูกคนอื่นหายใจ
- เสี่ยงกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
- เสี่ยงกับการฝากชีวิตและฝากธุรกิจไว้กับคนอื่น
ในบทความนี้ผมจะพยายามไม่เขียนถึงข้อเสียของการไม่มีเว็บไซต์นะ กลับกัน ผมจะเขียนถึงข้อดีของการมีเว็บไซต์ รับรองว่าพอคุณอ่านบทความนี้จบ คุณจะต้องหันมาฉุกคิดถึงความจำเป็นของการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองอย่างแน่นอน
ทำไมต้องมีเว็บไซต์ เว็บไซต์จำเป็นไหม?
มีเว็บไซต์เพื่อทำให้ลูกค้า “ค้นหา” คุณเจอบนโลกออนไลน์
การที่คุณมีเว็บไซต์จะทำให้คุณเตะตาพี่ใหญ่บิ๊กเบิ้มอย่าง Google ซึ่ง Traffic ที่มาจาก Google นั้น เมื่อเทียบกับ Traffic ช่องทางอื่นๆ แล้ว จัดเป็น Traffic ชั้นดี
ทำไมถึงเรียกว่า Traffic ชั้นดี?
ลองคิดดูว่าคนใช้ Google กันเพื่ออะไร?
ใช่แล้วครับ คนใช้ Google เพื่อค้นหาในสิ่งที่ต้องการ การที่คนค้นหาบน Google แล้วเจอเว็บไซต์ของคุณ จากนั้นก็คลิ๊กเข้ามา มันเป็นตัวบ่งบอกว่า
- เขามีความต้องการจริงๆ
- เว็บไซต์ของคุณน่าดึงดูดเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของเขาได้
ถ้าคุณขาย หรือทำธุรกิจผ่านโซเชียลมีเดีย, ลงโฆษณา google, ขายผ่าน Platform อื่นๆ หรือขายบนโลกออฟไลน์อยู่แล้ว ลองหันมาทำเว็บไซต์เพื่อตอบโจทย์ Search Engine อย่าง Google ดูนะครับ เพราะการที่ลูกค้าเข้ามาเจอคุณผ่านการ “ค้นหา” นั้น มันเป็นช่องทางที่ทรงพลังที่สุดช่องทางหนึ่งเลยล่ะ
ถ้าเทียบเว็บไซต์ กับช่องทางออฟไลน์แล้ว ผมมองว่า ถ้าคุณสามารถทำให้ลูกค้าเจาะจงไปหาคุณได้ในช่องทางออฟไลน์ มันจะยอดเยี่ยมกว่าการค้นเจอคุณบนโลกออนไลน์อีก แต่การจะทำให้เป็นแบบนั้นได้ ผมคิดว่าคุณต้องจ่ายเงินมากกว่าการสร้างเว็บไซต์อีกเยอะมากๆ ครับ
ถ้าเทียบเว็บไซต์ กับโซเชียลมีเดีย หลายๆ คนอาจจะแย้งว่า คนก็ค้นหาข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียเหมือนกัน ก็จริงครับ แต่ผมมองว่าระดับการค้นหาบนโซเชียลมีเดีย เมื่อเทียบกับเว็บไซต์แล้วมันต่างกันมาก เพราะคนไม่ได้เล่นโซเชียลมีเดียเพื่อค้นหาข้อมูล จุดประสงค์หลักในการเล่นโซเชียลมีเดียของคนทั่วไปคือเชื่อมต่อกับคนอื่นๆ มากกว่า
เว็บไซต์จำเป็นเพราะ…ไม่มีที่ใดสุขใจเท่าบ้านเรา
คุณเคยเช่าคอนโด นอนโรงแรม หรืออาศัยบ้านเพื่อนอยู่ไหมครับ?
ผมคิดว่าทุกคนน่าจะตอบว่าเคยแน่ๆ ซึ่งสถานที่เหล่านั้นอาจจะให้ความสนุก และความสุขได้ในระยะเวลานึง แต่ถ้ามองในระยะยาวแล้ว ไม่มีที่ไหนทำให้คุณสุขใจได้กับบ้านอันแสนอบอุ่นของคุณ การมีเว็บไซต์ก็เหมือนกับการมีบ้าน ที่คุณจะสามารถตกแต่ง ย้ายของโน่นนี่ หรือระบายสียังไงก็ได้ตามที่คุณอยากให้มันเป็น
คุณจะใส่ข้อมูลอะไรไว้ใน “หน้าแรก” ของคุณก็ตามแต่ใจ, คุณจะแบ่งหมวดหมู่ “บล็อก” ของคุณเป็นกี่แบบก็ได้ไม่จำกัด หรือคุณจะเลือกเก็บเงินบน “ร้านค้า” ของคุณด้วยวิธีไหนก็ได้
ที่สำคัญคือ คุณสามารถออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงามได้ดั่งใจ เพื่อสร้างประสบการณ์ดีแก่ผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยในต่างประเทศมีงานวิจัยว่า เว็บไซต์ที่ดูสวยงาม ทันสมัย ใช้งานง่าย สามารถเพิ่ม conversion ได้ถึง 400%
“บ้าน” ที่ผมพึ่งเขียนถึงไปนั้นมีอยู่หลายรูปแบบ
“บ้าน” แบบที่สร้างขึ้นมาเองใหม่หมดเลย ซึ่งก็คือการเขียนเว็บไซต์ขึ้นมาเอง ข้อดีคือคุณเป็นเจ้าของทุกอย่าง มันจะมีความยืดหยุ่นสูงกว่ามาก ส่วนข้อด้อยคือทำยาก, ใช้งบประมาณเยอะ และคุณต้องดูแลทุกอย่างเอง“บ้าน” แบบที่มีคนสร้างโครงไว้ให้แล้ว เหลือแค่คุณหยิบโครงมาวางไว้บนพื้นที่ของคุณ ตัวอย่างเช่น WordPress.org ข้อดีคือคุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ของคุณเอง และสร้างง่าย แต่ข้อด้อยก็คือคุณก็ต้องสร้างเองอยู่ดี และคุณต้องดูแลทุกอย่างเอง
“บ้าน” แบบที่มีคนสร้างโครงไว้ให้แล้ว แต่คุณต้องไปสร้างบนพื้นที่ของเขา ตัวอย่างเช่น WordPress.com, Shopify, Wix, Squarespace, Weebly, Makewebeasy, Velaeasy, Inwshop หรือ Bentoweb ข้อดีคือสร้างง่าย ราคาไม่แพง และมีคนคอยช่วยคุณดูแล แต่ข้อด้อยก็คือคุณก็ต้องสร้างเองอยู่ดี และข้อมูลทุกอย่างของคุณจะอยู่ที่พวกเขา
“บ้าน” ที่เป็นแบบสำเร็จรูป ซึ่งก็เหมือนกับการจ้างทำเว็บไซต์บนเทมเพลตที่เขามีอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น iTopPlus ข้อดีก็คือคุณไม่ต้องสร้างเว็บไซต์เอง และมีคนคอยช่วยคุณดูแล แต่ข้อด้อยก็คือข้อมูลของคุณจะอยู่ที่พวกเขา
บ้านแต่ละแบบมีข้อดี ข้อด้อยต่างกันไป ผมแนะนำให้เลือกตามความชอบ งบประมาณ และความเหมาะสมกับธุรกิจของคุณนะครับ
เว็บไซต์สร้างความน่าเชื่อถือ
การทำเว็บไซต์ต้องอาศัยพลังงานมากกว่าการขายบนแพลตฟอร์มอื่นๆ หรือการสร้างแอคเคาท์บนโซเชียลมีเดียพอสมควร ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับโลกออฟไลน์นั้นก็เหมือนกับการที่คุณสร้างร้านเอง กับคุณไปฝากของขายตาม Super Market หรือตามห้าง
การสร้างร้านของตัวเองนั้นมีความยุ่งยากกว่ามาก แต่ถ้าคุณมีหน้าร้าน มันก็เป็นตัวบ่งบอกถึงความพร้อมที่จะบริการ และความเป็นมืออาชีพของคุณ ลองสังเกตดูว่าแบรนด์ส่วนใหญ่ที่มีชื่อเสียงแล้วต่างก็มีเว็บไซต์ด้วยกันท้ังนั้น
ระหว่างมีเว็บ กับไม่มีเว็บ ผมคิดว่าความน่าเชื่อถือบนโลกออนไลน์มันคนละระดับกันเลย
หนึ่งในข้อดีของการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองก็คือคุณจะมี Domain name เป็นของตัวเอง เช่น www.mywebsite.com ซึ่งการที่คุณมี Domain name เป็นของตัวเองจะทำให้คุณสามารถใช้อีเมลแบบ email@mywebsite.com ได้ แทนที่จะเป็น mywebsite@gmail.com โดยการใช้บริการของ Google for Business หรือ Zoho นี่ก็เป็นหนึ่งจุดเล็กๆ ที่ทำให้คุณดูน่าเชื่อถือขึ้นมาอีกระดับแล้ว
การเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอื่นๆ
การมีเว็บไซต์นั้นจะทำให้คุณเชื่อมต่อกับแพล็ตฟอร์มอื่นๆ ได้เป็นหมื่นๆ แพล็ตฟอร์ม ซึ่งถ้าคุณสามารถสร้างการเชื่อมต่อได้เชี่ยวชาญแล้ว ในบางขั้นตอน คุณสามารถที่จะทำระบบของคุณให้เป็นระบบอัตโนมัติ (Automate) ได้
มองในแง่ Inbound Marketing คือการทำ Marketing Automation หรือ Sales Automation นั่นเอง เช่นคุณสามารถตั้งค่าไว้ได้ว่า เมื่อคนที่ติดตามคุณด้วยอีเมลนั้นเข้าไปในหน้า Sales Page (หน้าขายของของคุณ) แล้วไม่ซื้อ ระบบจะส่งอีเมลแบบอัตโนมัติเพื่อ Follow Up ติดตามผลหลังจากที่เขาเข้าไปหน้า Sales Page ของคุณ 1 วัน เป็นต้น
ถ้าเป็นคนที่เก่งๆ คนคนนั้นจะสามารถสร้างระบบอัตโนมัติโดยผสานเว็บไซต์เข้ากับเครื่องมืออื่นๆ บนโลกออนไลน์ จนกลายเป็นเครื่องจักรผลิตเงินให้กับเขาได้เลย
หรือถ้ามองในมุมของบริษัท การมีเว็บไซต์ และการผสานเว็บไซต์เข้ากับเครื่องมือต่างๆ จะช่วยลดค่าใช้จ่าย และลดความไม่แน่นอนของคนได้อีกเยอะเลยล่ะ
สุดท้าย
เว็บไซต์นั้นเป็นสิ่งที่เกิดมากว่า 25 ปีแล้ว
ด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ใครก็ตามที่ยังคงอยู่แต่บนโลกออฟไลน์ จะมีความยากลำบากในการทำธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเจอสิ่งที่ดีกว่า เร็วกว่า เจ๋งกว่า มาแข่งขันด้วย
สำหรับการทำธุรกิจบนโซเชียลมีเดีย ผมเองนั้นมีความเชื่อที่ว่า วัตถุถึงที่สุดแล้วต้องมีการเปลี่ยนพลิก ช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมานี้เป็นยุคสมัยแห่งโซเชียลมีเดียอย่างแท้จริง แต่ช่องทางบนโลกโซเชียลมีเดียนั้นจะมีคนเข้ามาทำธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ และโมเดลธุรกิจแบบ Advertising นั้นมีข้อจำกัดด้านปริมาณในการนำเสนออยู่ (โซเชียลมีเดียไม่อาจจะปล่อยให้มีโฆษณามากเกินไป เพราะถ้ามากเกินไป คนก็จะไม่อยากใช้งานนั่นเอง) และเมื่อไหร่ก็ตามที่ demand มากกว่า supply มากๆ ราคามันก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ และคนก็จะเริ่มหาทางเลือกอื่น
เช่นเดียวกับการไปฝากขายในแพลตฟอร์มใหญ่ๆ ที่คุณต้องทำตามกฏระเบียบที่ทางแพลตฟอร์มกำหนดขึ้นมา
ดังนั้น การทำเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งผมมองว่าเป็น การสร้างสินทรัพย์บนโลกดิจิทัล ควบคู่ไปกับการใช้ช่องทางอื่นๆ อย่างโซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มอื่นๆ น่าจะเป็นการผสมผสานที่ดี และยั่งยืนในระยะยาวครับ